ณ กรุงพาราณสี ในสมัยพุทธกาล ยังมีหนุ่มน้อยคนหนึ่งนามว่า ยสะ เป็นลูกชายของเศรษฐีแห่งเมืองพาราณสีแห่งนั้น ผู้เป็นแม่ก็คือ นางสุชาดา ผู้ที่เคยถวายข้าวมธุปายาสแก่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งก่อนที่จะทรงตรัสรู้นั่นเอง ผู้เป็นพ่อให้ความรักและดูแลบุตรชายเป็นอย่างดี สร้างคฤหาสน์ให้อยู่สามหลัง สำหรับพักผ่อนในสามฤดู มีข้าทาสบริวารทั้งชายหญิงคอยรับใช้ ชีวิตมิได้ลำบากอะไรเลย กลางค่ำกลางคืนก็มีนางงามสวย ๆ คอยปรนนิบัติมิได้ขาด
จนวันหนึ่งขณะที่หนุ่มน้อยยสะ ตื่นขึ้นมากลางดึกก็พบเห็ยสภาพของบ่าวรับใช้ และนางงามที่เห็นว่างดงามยิ่งนัก ขณะนี้พวกเขาดูเปลี่ยนไป ทั้งนอนอ้าปากหวอ ท่าทางเหมือนคนพิกลพิการในขณะหลับไหล จึงนึกปลงสังเวช รู้สึกเบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา จึงออกจากบ้านไปกลางดึก เดินออกไปเรื่อย ๆ มุ่งไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พร้อมกับเดินรำพึงไปด้วยว่า
"ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ช่างวุ่นวายเหลือเกิน ไม่เห็นน่าอภิรมย์ตรงไหนเลย"
ในเวลาใกล้รุ่ง เมื่อเดินไปจนถึงใกล้กุฎิที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ก็ยังเดินพร่ำบ่นอยู่อย่างนั้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงได้ยินก็ทรงตรัสขึ้นมา
"เจ้าจงเข้ามาที่นี่เถิด เราจะแสดงให้เจ้าเห็นที่ที่เจ้าจะไม่วุ่นวาย หรือเบื่อหน่ายอีกต่อไป"
ยสะถอดรองเท้าทองคำไว้หน้ากุฏิ แล้วเดินเข้าไปในกุฎิขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและก้มลงกราบ องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า อนุปุพพิกถา อันได้แก่ พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงสูงขึ้นไปตามลำดับจากง่ายไปหายากเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน จนสามารถปล่อยวางความยึดติดอยู่กับกามคุณได้ และจากนั้นจึงแสดง "อริยสัจ ๔" ความจริงอันประเสริฐ ให้แก่หนุ่มน้อยยสะได้รับฟัง
เมื่อยสะได้รับฟังพระธรรมเทศนาแล้วจึงบังเกิดจิตที่ไม่ยึดติดกับกามคุณอีกต่อไป ยสะบรรลุพระอรหันต์ขั้นที่ ๑ คือ พระโสดาบัน
ส่วนทางบ้าน เมื่อตื่นเช้าขึ้นมา แม่ไม่เห็นบุตรชายในบ้านก็เกิดความเป็นห่วง จึงรีบแจ้งให้สามีทราบถึงการหายตัวไปของลูกชาย เขาจึงได้ส่งทหารม้าออกไปทั้งสี่ทิศเพื่อค้นหายสะ ส่วนตัวพ่อของยสะนั้นมุ่งหน้าไปทางป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ตามทางที่รองเท้าทองคำทิ้งไว้
พระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นบิดาของยสะแต่ไกล ทรงดำริว่า “เป็นการดีที่จะซ่อนยสะไว้ไม่ให้พ่อเห็น” จึงกันยสะให้พ้นสายตาพ่อก่อน
เมื่อเดินทางไปถึงกุฎิของพระพุทธเจ้า จึงขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ท่านได้เห็นยสะคนในตระกูลของข้าพเจ้าผ่านมาทางนี้หรือไม่”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
“ท่านเศรษฐี ถ้าท่านต้องการพบบุตรชายของท่าน ท่านจงนั่ง ณ ที่นี้เถิด แม้จะนั่งอยู่ตรงนี้ ท่านก็ยังจะได้เห็นลูกชายของท่านนั่งอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ”
ครั้นแล้ว ท่านเศรษฐีก็เกิดความยินดีด้วยคิดว่า
“เราจะได้เห็นยสะบุตรของเรานั่งใกล้ ๆ ในขณะที่เรานั่งอยู่นี้!”.
จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว นั่งลง ณ ที่แห่งนั้น
เมื่อประทับนั่งอย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยลำดับ ดังนี้ (๑) ธรรมว่าด้วยกุศลทาน (ทานกถา) หมายถึงการให้ การเสียสละ การบริจาค การช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์กันและกัน (๒) ธรรมเกี่ยวกับศีล (ศีลกถา) (๓) ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเกี่ยวกับปลายทางแห่งความสุข (สังคกถา) และ (๔) พระธรรมว่าด้วยแนวทางอันดีงามและแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลและนิพพาน (มัคคกถา)
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าจิตของท่านเศรญฐีผ่อนคลายลงแล้ว ปราศจากอคติ เบิกบาน โสมนัส และสงบแล้ว พระองค์จึงทรงแสดงธรรมเรื่องความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ หรืออริยสัจสี่ ที่พระองค์ทรงค้นพบ ท่านคฤหบดีเสรษฐีก็ได้บรรลุธรรมชั้น๑ พระโดาบัน ในทันที (บิดาของยสะ เป็นฆราวาสคนแรกในหมู่ฆราวาสทั้งปวงที่ได้เป็นพระโสดาบันสาวกในสมัยพุทธกาล)
กาลนั้น บิดาของยสะกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า
"น่ายินดียิ่งนัก พระเจ้าข้า! สิ่งที่วางอยู่ด้านล่างถูกพลิกกลับขึ้นมาด้านบน ฉันใด อุปมาทางโลกก็เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ปกปิดไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมา ฉันนั้น คนหลงทางมาตั้งนาน วันนี้ถูกชี้นำไปในทางที่ถูกต้องฉันใด ก็เหมือนท่านได้จุดประทีปไว้ในที่มืด ฉันนั้น เหมือนกับท่านได้เปิดตาให้แก่ผู้มีจักษุได้เห็นสิ่งที่เป็นจริงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากลับมีรูปร่างขึ้นมาให้เห็นได้ง่ายดาย"
"พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาแก่ข้าพเจ้าอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ขอถึงซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่สรณะนับแต่นี้ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดรับข้าพเจ้าเป็นสรณะอันประกอบด้วยพระรัตนตรัย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เทอญ !"
ท่านเศรญฐี บิดาของยสะจึงได้เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นคนแรกในสมัยพุทธกาล
ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมแก่บิดานั้น ยสะเองก็ได้บรรลุมรรค ๓ ขั้นสูงสุด และบรรลุเป็นพระอรหันต์โดยพิจารณาอริยสัจ ๔ ตามแนวปฏิบัติที่ได้รู้มาแล้วตั้งแต่บรรลุโสดาปัตติมรรค ยสะจึงหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด ๆ โดยเฉพาะตัณหาและความเห็นผิด (ตัณหา-ทิฏฐิ) ว่าเป็น “เรา” เป็น “ของเรา” และหลุดพ้นจากอาสวะซึ่งสิ้นไปด้วยการไม่เกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง
( อาสวะ นั้นก็คือ กิเลสที่หมักหมม นอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว ให้ชุ่มอยู่เสมอ เรียกย่อว่า อาสวะ ก็ได้ มี ๔ อย่าง คือ กาม ได้แก่ ความติดใจรักใคร่อยู่ในกามคุณ ภพ ได้แก่ ความติดอยู่ในภพ ความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ทิฏฐิ ได้แก่ ความเห็นผิด ความหัวดื้อหัวรั้น และอวิชชา ได้แก่ ความไม่รู้จริง ความลุ่มหลงมัวเมา)
เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นแล้วว่าทั้งยสะและบิดาต่างก็บรรลุโสดาบันแล้ว พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พ่อและบุตรชายได้พบเห็นกัน
ทันใดนั้น เมื่อท่านเศรษฐีเห็นบุตรชายเข้ามานั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ดีใจเป็นอันมาก จึงกล่าวต่อยสะว่า
“ยสะลูกเอ๋ย! แม่ของเจ้าขณะนี้ตกอยู่ในสภาพวิตกกังวลและโศกเศร้า ร้องไห้ที่ไม่ได้พบเจ้า จึงให้พ่ออกตามหาเจ้ามาตั้งแต่เช้ว เจ้าจงกลับไปหานางเถิด ไม่เช่นนั้นนางต้องเสียใจจนขาดใจตายเสียแน่ ๆ"
ยสะนิ่งเงียบ ไม่ตอบบิดา เงยหน้าขึ้นมองพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงทรงตรัสถามท่านเศรษฐีว่า
“ท่านเศรษฐี ท่านโปรดพิจารณาคำถามที่เรา พระพุทธเจ้ากำลังจะถามท่านตอนนี้เถิด? ยสะ ขณะนี้ได้น้อมรับความจริงอันประเสริฐสี่ประการด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมจนบรรลุพระโสดาบันแล้ว อย่างที่ท่านก็เป็นอย่างนั้นแล้วเช่นกัน และเมื่อได้ใคร่ครวญจนรู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจ ๔ ด้วยการปฏิบัติให้รู้แจ้งตั้งแต่บรรลุโสดาปัตติมรรคแล้ว ก็บรรลุมรรค ๓ เบื้องบนตามลำดับ และขณะนี้ ยสะนั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เนื่องด้วยอาสวะสิ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ย่อมหลุดไปในกามภพ แล้วท่านจะให้เขากลับไปเสวยกามสุขอย่างที่เคยปฏิบัติมาหรือ?”
ท่านเศรษฐีจึงตอบว่า
“ไม่ขอรับ ข้าแต่พระองค์”
พระพุทธเจ้าจึงทรงตรัสต่อว่า
"ท่านเศรษฐี ยสะนั้นได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เนื่องด้วยอาสวะสิ้นไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ย่อมหลุดไปในกามภพ เขาจะไม่กลับไปเสวยกามสุขอย่างที่เคยปฏิบัติมา"
ท่านเศรษฐีจึงกล่าวว่า
“ข้าแต่พระพุทธองค์! เนื่องจากจิตใจของยสะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ โดยสิ้นเชิงแล้ว ด้วยตัณหาและความเห็นผิดว่าสิ่งนั้นเป็น “เรา” และ “ของเรา” หลุดพ้นจากอาสวะแล้ว เขาจะได้เสวยสุขและประโยชน์ในชีวิตที่จะดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พระพุทธองค์! เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับบุญกุศลอันยิ่งใหญ่และเพื่อความปิติ อิ่มเอมใจ ขอท่านจงรับนิมนต์ให้ข้าพเจ้าได้ถวายภัตตหารที่บ้านของข้าพเจ้า โดยมี ยสะ เป็นผู้ติดตามไปข้างหลังท่านด้วยเถิด”
พระองค์ทรงรับด้วยอาการดุษณียภาพ (ดุษณีภาพ คือการรับนิมนต์ของพระบรมศาสดา ได้แก่ ทรงนิ่ง)
ครั้นเมื่อทราบแล้วว่าพระพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์ เศรษฐีจึงลุกขึ้นจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเพื่อเดินทางกลับเรือน ท่านเศรษฐีแสดงความเคารพโดยการกราบ และเวียนประทักษิณสามรอบก่อนจากไป
ครั้นท่านเศรษฐีจากไปไม่นาน ยสะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วทูลขอบรรพชา
“พระพุทธเจ้าข้า! ขอให้ข้าพเจ้าได้รับการอุปสมบท ต่อพระพักตร์พระองค์”
พระองค์จึงทรงบรรชาให้แก่ยสะในเวลานั้น ยสะได้กลายเป็นพระภิกษุผู้บริบูรณ์ดุจพระเถระอายุยืน ๖๐ พรรษา พร้อมสรรพด้วยอิทธิฤทธิ์ ๘ ประการ
เมื่อทรงแบรรพชาให้แก่ยสะเป็นเอหิภิกขุแล้ว รุ่งเช้า พระพุทธเจ้าจึงทรงเสด็จดำเนินไปที่บ้านเศรษฐีผู้เป็นบิดา ทรงจีวรและถือบาตรโดยมีพระยสะเป็นภิกษุผู้ติดตาม และเมื่อไปถึง ประทับนั่งขัดสมาธิในอาสน์อันสูงส่งซึ่งจัดไว้อย่างพร้อมเพรียง ต่อจากนั้น นางสุชาตา ภริยาของท่านเศรษฐี และผู้เป็นมารดาของพระยสะ พร้อมทั้งอดีตภีิยาของพระยสะได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว จึงนั่ง ณ ที่สมควร
ครั้นประทับนั่งแล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่มารดาและภริยาเก่าของพระยสาให้ถึงซึ่งมรรคผล (๑) ธรรมว่าด้วยกุศลทาน (ทานกถา) (๒) ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ธรรมว่าด้วยศีล (สีลากถา) (๓) ธรรมที่เกี่ยวกับความสุข สุคติ (สัคคถา) และ (๔) ธรรมที่เกี่ยวกับทางดีและแนวปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล และพระนิพพาน (มัคคคาถา) และทรงแสดงโทษแห่งกามคุณ พร้อมทั้งอานิสงส์แห่งการสละชีวิตครองเรือน ต่อจากนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าจิตของทั้งคู่อ่อนเอนลงแล้ว ปราศจากอุปสรรค มีแต่ความปิติ ยินดี บริสุทธิ์และผ่องใสแล้ว พระองค์จึงทรงแสดงธรรมที่พระองค์ทรงค้นพบแต่เดิม คือ อริสัจ ๔ แก่ทั้งสองนาง ครั้งนั้น มารดาของยสะและภริยาเก่าของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล ทั้งสองกล่าว อนุโมทนา สาธุ ด้วยความปิติ
จากนั้น ทั้งท่านเศรษฐีผู้เป็นบิดา นางสุชาดา มารดา และภริยาเก่าก็ได้ถวายภัตตาหารแก่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและพระยสะ
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเพื่อนเก่าของพระยสะในขณะที่ยังเป็นฆารวาส ได้แก่ วิมาลา สุบาหุ ปุณณชี และควันมปติ ทุกคนล้วนเป็นลูกชายเศรษฐีในเมืองพาราณสีเช่นเดียวกัน ได้ยินว่าเพื่อนรักยสะได้บรรพชาเป็นพระ และได้ละทิ้งทรัพย์สมบัติของตระกูลไปแล้ว
เมื่อได้ยินว่ายสะผู้เป็นสหายของตนได้สละทรัพย์และสมบัติมหาศาลออกบวชแล้ว บุตรพ่อค้าเศรษฐีทั้ง ๔ นี้จึงใคร่ครวญพิจารณาดังนี้
"ยสะสหายของเราสละชีวิตครอบครัวและทางโลกแล้ว ออกผนวชด้วยการโกนศีรษะและเครา และห่มจีวร ดังนั้นพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าจึงมิอาจด้อยกว่าทรัพย์สมบัติเหล่านั้นได้ (จะต้องเหนือกว่าแน่นอน) สภาพความเป็นพระจะด้อยกว่าสภาพความเป็นฆารวาสไม่ได้ (มันจะเหนือกว่าอย่างแน่นอน)”
พวกเขาจึงพากันไปพบพระยสะที่วัด พระยสะจึงนำาสหายเก่าทั้งสี่คนไปเข้าเฝ้าองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า และกล่าวต่อพระองค์ว่า
"ข้าแต่พระผู้มีพระภาค นี่คือสหายเก่าทั้งสี่ของข้าพเจ้า สมัยที่ข้าพเจ้ายังเป็นฆารวาส พวกเขามีนามว่า วิมาลา สุบาหุ ปุณณชี และควันมปติ วันนี้พวกเขามาที่นี่เพื่อจะได้ทราบว่าทำไมข้าพเจ้าจึงได้ละซึ่งทางโลกมาบรรพชาเป็นพระภิกษุ เช่นนี้ ขอได้โปรดพระองค์ทรงประทานพระธรรมเทศนาแด่พวกเขาด้วยเถิด"
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาไห้แก่สหายทั้งสี่ เมื่อพวกเขาได้ฟังพระพระธรรมเทศนาแล้วจึงเกิดบรรลุโสดาบัน ซาบซึ้งในรสพระธรรม ขอบรรชาเป็นพระเหมือนกับพระยสะ เช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน สหายเก่าอีก ๕๐ คน ก็ได้ร่วมบรรพชาต่อหน้าพระสัมมาสมัพุทธเจ้า
จึงนับว่า การอุปสมบทของพระยสะในครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะว่าเป็นสิ่งอำนวยประโยชน์สุขให้หมู่ชนเป็นอันมาก เพราะว่าท่านยังสามารถ ชักจูงผู้อื่นเข้ามาอุปสมบทด้วย เช่น สหายของท่านอีก ๕๔ คน